ไทยพีบีเอส จัดเวที "รู้สู้ภัย รวมใจเตือนภัยพิบัติ" ส่งเสริมการมีส่วนร่วมกำหนดนโยบาย

ไทยพีบีเอส โดยสภาผู้ชมและผู้ฟังรายการ จัดเวที “รู้สู้ภัย รวมใจเตือนภัยพิบัติ” ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบาย พร้อมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การเตือนภัย และการรับมือกับภัยพิบัติ ผ่านประสบการณ์จริงจากพื้นที่

องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือไทยพีบีเอส โดยสภาผู้ชมและผู้ฟังรายการ ภูมิภาคกรุงเทพฯ และปริมณฑล และภูมิภาคตะวันออก จัดกิจกรรมส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบาย “รู้สู้ภัย รวมใจเตือนภัยพิบัติ” เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2568 ณ Convention Hall 2 ไทยพีบีเอส

ดร. นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ประธานกรรมการนโยบาย ส.ส.ท. กล่าวเปิดกิจกรรมส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบาย ในหัวข้อ “รู้สู้ภัย รวมใจเตือนภัยพิบัติ” โดยเน้นย้ำถึงบทบาทของสื่อสาธารณะที่ให้ความสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้และการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติในสังคมไทย ซึ่งในปีนี้ได้ดำเนินงานตามวาระหลักทั้งหมด 5 ประเด็น ได้แก่ 1.ภัยพิบัติ 2.สุขภาพจิตและสังคม 3.การส่งเสริมท้องถิ่นให้เข้มแข็ง 4.การตรวจสอบข้อมูลข่าวสารและป้องกันข่าวปลอม (Fake News) 5.ปัญหาคอร์รัปชัน

ดร. นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ประธานกรรมการนโยบาย ส.ส.ท.

ในฐานะนักมานุษยวิทยา ดร. นพ.โกมาตร ได้ศึกษาเรื่องการปรับตัวของมนุษย์ต่อสิ่งแวดล้อมและภัยพิบัติ โดยเน้นย้ำถึงประเด็นสำคัญเรื่อง “ความเสี่ยง” และ “ความเปราะบาง” ของชุมชน โดยชี้ว่าหากสามารถป้องกันภัยได้ ก็ควรดำเนินการทันที เช่น การบริหารจัดการระบบแก้มลิง หรือการจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ แม้ไม่อาจป้องกันภัยได้ทั้งหมด แต่สามารถลดความรุนแรงและความเสียหายได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “การสร้างพลังและความร่วมมือในชุมชน” หากชุมชนที่มีระบบเตือนภัยและการรับมือที่เข้มแข็ง เช่นมีการเตรียมความพร้อมสำหรับรับมือกับน้ำท่วมและแผ่นดินไหว รวมถึงระบบการสื่อสารภายในชุมชนที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยลดผลกระทบจากภัยพิบัติได้

ไทยพีบีเอส โดยสำนักเครือข่ายและการมีส่วนร่วมสาธารณะ ยังได้สนับสนุนบทบาทของนักข่าวภาคพลเมือง ผ่านการนำเสนอข้อมูล ข่าวสาร รายงานผลกระทบเกี่ยวกับภัยพิบัติ รวมถึงการเปิดเวทีสื่อสารใน “สภาผู้ชมและผู้ฟังรายการ” เพื่อขยายการมีส่วนร่วมของประชาชนในการรับมือภัยพิบัติอย่างเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น

คุณนิตยา กีรติเสริมสิน ผู้ประกาศข่าว และนักสื่อสารด้านการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติจากไทยพีบีเอส ได้นำเสนอภาพรวมของสถานการณ์ภัยพิบัติในประเทศไทย โดยกล่าวว่า ปี 2023 ได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นปีที่ร้อนที่สุดนับตั้งแต่มีการบันทึกสถิติ อันเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปรากฏการณ์เอลนีโญที่ส่งผลกระทบอย่างชัดเจน และภายในปี 2100 โลกจะเผชิญกับภาวะโลกร้อนที่รุนแรงขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศอย่างมีนัยสำคัญ ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติอย่างเป็นระบบมากยิ่งขึ้น

คุณนิตยา กีรติเสริมสิน ผู้ประกาศข่าว และนักสื่อสารด้านการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติจากไทยพีบีเอส

ย้อนกลับไปในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องสูญเสียชีวิตประชาชนจากภัยพิบัติกว่า 10,000 คน โดยเฉพาะเหตุการณ์สึนามิในปี 2547 และภัยพิบัติที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในทุกปี “น้ำท่วม” เป็นภัยพิบัติที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดในประเทศไทย และเกิดขึ้นทุกปีตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังมีการสูญเสียในด้านเศรษฐกิจในระดับสูง ขณะที่งบประมาณของรัฐส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการจัดการผลกระทบภายหลังเกิดเหตุ แต่ยังคงมีข้อจำกัดในกระบวนการทำงานของภาครัฐ หากสามารถวางมาตรการป้องกันล่วงหน้าได้ จะถือเป็นโอกาสสำคัญในการลดความสูญเสีย


ภายในงานยังมีการเสวนาในหัวข้อ “การรับมือภัยพิบัติ” โดย คุณประเชิญ คนเทศ ผู้จัดการมูลนิธิลุ่มน้ำท่าจีน จังหวัดนครปฐม ได้กล่าวถึงการบริหารจัดการภัยพิบัติในระดับพื้นที่ว่า หัวใจสำคัญของการทำงาน คือการมีแผนงานที่เป็นระบบและสามารถคาดการณ์ได้ ซึ่งได้ถูกพัฒนาผ่านประสบการณ์การทำงานต่อเนื่องมากว่า 25 ปี ดำเนินงานโดยอาศัยกลไกภาคีเครือข่ายในพื้นที่ มีการสรุปฉากทัศน์ (scenario) กำหนดไทม์ไลน์ของสถานการณ์น้ำเองว่า น้ำจะมาทางไหน ช่วงเวลาใด ต้องมีการเฝ้าระวังล่วงหน้าอย่างไร พร้อมทั้งจัดให้มีการซ้อมแผนเผชิญเหตุจริงเป็นประจำ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดและเจ้าหน้าที่จากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เข้าร่วม เป็นการทำงานเชิงระบบในระดับจังหวัด ที่เกิดจากการบูรณาการระหว่างชุมชน ท้องถิ่น และหน่วยงานรัฐ เพื่อให้การรับมือกับภัยพิบัติในพื้นที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งนครปฐมถือเป็นจังหวัดนำร่องของภาคกลางในการจัดการภัยพิบัติด้านน้ำ

คุณประเชิญ คนเทศ ผู้จัดการมูลนิธิลุ่มน้ำท่าจีน จังหวัดนครปฐม

คุณณัฏฐ์ฤพงศ์ ภูบัวเพชร ผู้อำนวยการสถานีอุตุนิยมวิทยาจังหวัดนครปฐม กล่าวถึงการสื่อสารและการแจ้งเตือนภัยพิบัติว่า การคาดการณ์และแจ้งเตือนภัย โดยเฉพาะในกรณีของพายุสามารถติดตามเส้นทางและแจ้งเตือนได้ล่วงหน้า พร้อมทั้งเน้นว่าการสื่อสารต้องไม่สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชน และขณะนี้ประเทศไทยมีสถานีวัดปริมาณน้ำฝนมากกว่า 100 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งข้อมูลที่ได้จากสถานีเหล่านี้ได้นำมาวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง โดยกรมอุตุนิยมวิทยาได้พัฒนาระบบให้สามารถคาดการณ์ได้ในระดับตำบล เพิ่มความแม่นยำของข้อมูล สามารถนำไปใช้งานจริงได้ในระดับพื้นที่ โดยข้อมูลที่วิเคราะห์แล้วจะถูกนำไปเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของกรมอุตุนิยมวิทยา และส่งต่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้วางแผนรับมือภัยพิบัติได้อย่างเหมาะสม

คุณณัฏฐ์ฤพงศ์ ภูบัวเพชร ผู้อำนวยการสถานีอุตุนิยมวิทยาจังหวัดนครปฐม

ในช่วงบ่าย มีการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในรูปแบบ Focus Group โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มตามหัวข้อสำคัญ ได้แก่ กลุ่มที่ 1 การสื่อสารแจ้งเตือนภัยพิบัติ กลุ่มที่ 2 การจัดการภัยพิบัติ กลุ่มที่ 3 การรับมือหลังเกิดเหตุภัยพิบัติ ภายหลังการอภิปราย ผู้แทนจากแต่ละกลุ่มได้นำเสนอความคิดเห็นและข้อเสนอแนะร่วมกัน ก่อนจะเข้าสู่การสรุปและปิดกิจกรรมในช่วงท้าย


ทั้งนี้ ไทยพีบีเอส พร้อมทำหน้าที่ในการสื่อสารข้อมูลภัยพิบัติอย่างรอบด้าน และร่วมเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนให้เกิดการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สามารถติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวของสภาผู้ชมและผู้ฟังรายการ ไทยพีบีเอส ได้ที่ www.thaipbs.or.th/Sapa 

ไม่พลาดทุกข่าวสาร สาระความรู้ และคอนเทนต์คุณภาพ ติดตามไทยพีบีเอสทุกช่องทางออนไลน์ ได้ที่

▪ Website : www.thaipbs.or.th   
▪ Application : Thai PBS
▪ Social Media Thai PBS : Facebook, YouTube, X , LINE, TikTok, InstagramThreadsLinkedin

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวประชาสัมพันธ์

บทสัมภาษณ์ผู้บริหาร

ข่าวกิจกรรม

กลับขึ้นด้านบน